เมนู

ป. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เมื่อภิกษุนั้น รู้อยู่
อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ ฯลฯ จิตย่อม
หลุดพ้น แม้จากอวิชชาสวะ ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. ถ้าอย่างนั้น บุคคลก็เป็นผู้มีจิตพร้อมพรั่งด้วยสัญโญชน์
ละสัญโญชน์ น่ะสิ.
สัมมุขีภูตกถา จบ

อรรถกถาสัมมุขีภูตกถา



ว่าด้วย ผู้มีจิตพร้อมพรั่งด้วยสัญโญชน์



บัดนี้ ชื่อว่า เรื่องผู้มีจิตพร้อมพรั่งด้วยสัญโญชน์. ในเรื่องนั้น
บุคคลผู้มีสัญโญชน์ย่อมเป็นเข้าถึงซึ่งความเป็นผู้มีจิตพรั่งพร้อมต่อ
สัญโญชน์ทั้งหลาย คือเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยสัญโญชน์เหล่านั้น. คำที่เหลือ
ในที่นี้เช่นกันเรื่องผู้ถูกนิวรณ์ครอบงำแล้วนั่นแหละ ดังนี้แล.
อรรถกถาสัมมุขีภูตกถา จบ

สมาปันโน อัสสาเทติกถา



[1529] สกวาที ผู้เข้าสมาบัติย่อมยินดี ความยินดีรักใคร่ในฌาน
มีฌานเป็นอารมณ์ หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. ฌานนั้น เป็นอารมณ์แห่งฌานนั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ฌานนั้น เป็นอารมณ์แห่งฌานนั้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลถูกต้องผัสสะนั้นด้วยผัสสะนั้น เสวยเวทนานั้น
ด้วยเวทนานั้น จำสัญญานั้นด้วยสัญญานั้น ตั้งเจตนานั้นด้วยเจตนานั้น
คิดจิตนั้นด้วยจิตนั้น ตรึกวิตกนั้นด้วยวิตกนั้น ตรองวิจารนั้นด้วยวิจาร
นั้น ดื่มปีตินั้นด้วยปีตินั้น ระลึกสตินั้นด้วยสตินั้น รู้แจ้งปัญญานั้นด้วย
ปัญญานั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ความยินดีรักใคร่ในฌาน ก็สัมปยุตด้วยจิต ฌานก็
สัมปยุตด้วยจิต หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เป็นความประชุมกันแห่งผัสสะ 2 ฯลฯ แห่งจิต 2 หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ความยินดีรักใคร่ในฌานเป็นอกุศล ฌานป็นกุศล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ธรรมเป็นกุศลและธรรมที่เป็นอกุศล ธรรมที่มีโทษ